ตะลุย Japan แดนมินิมอล (3) : พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง
ญี่ปุ่นวันที่ 3
ในช่วงที่เราเดินทางไปญี่ปุ่น จะเป็นช่วงที่บางวันสภาพอากาศไม่เป็นใจให้ท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ .. ดูจากพยากรณ์แล้ว วันนี้ฟ้าจะครึ้มและมีฝนปรอย
ซึ่งตรงเป๊ะตามนั้น
.
เราเลือกที่จะไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง .. เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ อยู่บริเวณอ่าวโอซาก้า การเดินทางเลยสะดวก เพราะไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพัก
.
เดินทางด้วยการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ไปลงสถานี Osakako station จากสถานีเดินต่อไประยะหนึ่ง ประมาณ 10 นาที เราชอบถนนสายนี้ระหว่างเดินมาก ..
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่รถน้อยมากนะ ถนนโล่ง .. เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะโอซาก้าหรือเปล่า แต่ยังไงๆ รถน้อยกว่าประเทศไทยแน่นอน
.
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าถ้าจะซื้อรถได้ ต้องมีการแสดงที่จอดรถด้วย ไม่ใช่ว่ามีเงินก็ซื้อได้อย่างเดียว ต้องแสดงหลักฐานด้วยว่า เรามีที่จอดเพียงพอ ถ้าไม่มีที่จอดก็ต้องเช่าที่จอดเอา
.
แถมใบขับขี่ก็ได้มายากเย็น ระบบขนส่งของเค้าก็ดี มีทั่วถึงทุกตรอกซอกซอย คือเดินออกมาจากซอยก็ไม่ไกล ที่จะไปขึ้นรถไฟฟ้า
.
นี่คือสาเหตุที่รถบนท้องถนนของญี่ปุ่นน้อยมากกกกก
ถนนสายนี้ก็เช่นกัน กว่าจะมีรถผ่านมาสัก 1 คันนี่หลายสิบนาที
เราออกเดินด้วยการชมวิวสองข้างทางไปด้วย
สัมผัสอากาศเย็นๆ ฟ้าครึ้มๆ ฝนจะตกไม่ตกแหล่แล้วก็แอบหวั่นใจ เพราะไม่มีเสื้อกันฝน และไม่ได้ซื้อร่มเตรียมมาเลย
.
ระหว่างทางจะผ่าน Lego Land และชิงช้าสวรรค์เทมโปซานใหญ่ยักษ์ ซึ่งก็น่าจะสูงน่าดู แถมเรากลัวความสูงด้วยสิ
ใจนึงก็อยากนั่ง แต่อีกใจก็กลัวจะนั่งแล้วหัวใจวายตายเสียก่อน …
เราเดินจ้ำๆ เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนเข้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก่อนฝนจะตก .. จุดนั้นจะมีห้างฯ ( จำชื่อไม่ได้แล้ว )
.
เราฝากท้องไว้กับร้านหน้าหมู และข้าวหน้าเนื้อในไทยจะเรียกสิ่งนี้ว่า “ข้าวหน้าหมูจอมพลัง” ขายโดยคุณป้ากับลูกชาย ที่พูดอังกฤษไม่ได้ทั้งคู่
ตัวกลมเป็นคนกินเผ็ด เลยพยายามสื่อสารว่า ให้ใส่พริก(ญี่ปุ่น)เยอะๆ .. คุณป้าเป็นห่วง โบกมือหยอยๆ ทำหน้าเผ็ด ไม่ใส่ให้ บอกว่ามันเผ็ด!!! แต่ตัวกลมยังคงยืนยันว่า ขอเถอะขอ ใส่มาหน่อยชอบกินเผ็ด
.
สื่อสารกันอยู่นานด้วยภาษามือและสีหน้า จนคุณป้าใจอ่อน .. ในใจคงคิดว่า #เตือนแล้วนะ (เสียงเชฟป้อม)
.
ผลปรากฎว่าอร่อยมากกกกกกก อร่อยที่สุด
และรสชาตินี่หากินไม่ได้อีกเลยในไทย
เทียบกับราคาแล้วถูกมากๆมีทั้งเครื่องในและเนื้อหมู .. แต่เครื่องในไม่มีกลิ่นสาบเลย แถมตรงกันข้าม มันหอมแบบหอมจริงๆและนุ่มเหมือนละลายในปาก
.
อร่อยแค่ไหน ก็อยากให้คิดว่าเหตุการณ์นี้เกิดมานาน 1 ปีแล้ว เรายังจำรสชาติมาเขียนบทความได้อยู่เลย
.
จบจากมื้อนี้เราก็ซื้อตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์
ที่ญี่ปุ่น จุดซื้อตั๋ว พนักงานมักพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก และมักจะถามด้วยว่า เรามาจากประเทศอะไร .. พอบอกประเทศไทย เค้าจะพูดต้อนรับว่า “สวัสดีค่ะ” และตบท้ายด้วยว่า “ขอบคุณนะคะ”
มันอาจเป็นสิ่งเล็กๆ แต่มันก็สร้างความประทับใจใหญ่ๆให้เราได้จดจำเนอะ
.
เราสองคนเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ . จุดด้านหน้า จะเป็นต่อคิวเพื่อให้ถ่ายรูปเก็บความประทับใจกับป้าย
เราชอบระบบการจัดการของเค้านะ
.
เค้าไม่บังคับซื้อภาพเลย พร้อมเอามือถือของเราไปถ่ายเก็บภาพให้ ..แถมใจดีให้เราถ่ายตั้งหลายแอค โทษฐานที่เราไม่ค่อยสวีทกันเท่าไหร่
.
เค้าเลยอยากให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ภาพจะได้ออกมาหวานๆ .. หลังจากนั้นก็ใช้กล้องใหญ่ของเค้าเก็บภาพพร้อมเอามาให้เราดู ว่าต้องการซื้อภาพไหม ? โดยไม่ได้ยัดเยียดการขายเลย
.
อันนี้รู้สึกดีมากจริงๆ เพราะบางประเทศมักยัดเยียดแอบถ่าย แล้วกดดันให้เราซื้อเสมอ
ประเทศไหนไม่รู้ เดาเอาเนอะ 555
.
เข้ามาในพิพิธภัณฑ์
สัตว์น้ำของที่นี่ก็ยังคงความเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่น.. มันอารมณ์ดี ยิ้มอ่อน น่ารักอย่างประหลาด ดูแล้วก็เพลินตาเพลินใจ.. ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาหมดไปเกือบทั้งวัน
โซนแรกจะเป็นปลา
เมื่อเดินต่อๆไป มันเหมือนเราได้ดำน้ำ ที่ลึกลงไปเรื่อยๆ .. คิดๆดูแล้ว ถ้าไม่มีพิพิธภัณฑ์นี้ เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะว่ายน้ำไม่เป็นเลย
พอได้มาที่นี่ ได้เห็นความสวยงาม และความอัศจรรย์ใต้ทะเล มันทำให้รู้สึกดีมากๆ
ถัดจากโซนปลา
โซนต่อมาจะเป็นพวกแมงกะพรุน
.
เราประทับใจโซนนี้มาก เพราะมีการจัดแบบเล่นแสงไฟ
.
เนื่องจากเมื่อไฟสาดส่องแมงกระพรุนที่แหวกว่ายในตู้แล้ว มันเหมือนเราได้เห็นศิลปะแห่งท้องทะเลลึก
เราได้เห็นความมหัศจรรย์เวลามันเคลื่อนไหว ว่าเฮ้ยยย .. แมงกระพรุนมันเหมือนเต้นบัลเล่ต์ ขยุ้มเท้าแล้วกระโดดสูงขึ้น โดยท้องทะเลรอบๆ เป็นเวทีของมัน
เคยแต่กินแมงกะพรุน(ซึ่งชอบกินมาก) วันนี้ได้เห็นตัวเป็นๆแล้ว .. ว่าแล้วก็หิวแมงกะพรุน (ในหัวมีแต่เรื่องกินจริงๆ)
.
ถัดจากโซนแมงกะพรุนจะเจอกับเพนกวิ้นที่ดูไม่กลัวคนมาก
เราอ่ะกลัวมันแทน เพราะหน้าตาดูเหวี่ยงชอบกล 555 แต่พอมองสีเท้ามันแล้วที่เป็นสีชมพู ทุกอย่างก็ดูซอฟท์ลง
มาถึงจุดนี้เราทั้งคู่ก็แบตหมดพอดี
ข้าวหน้าหมูจอมพลังหมดฤทธิ์จนทำให้เราหิวกันอีกรอบ เรานั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับไปแถวที่พัก ฝากท้องกับร้านโอโคโนมิยากิชื่อดังที่โดทงบุริ
ร้าน okonomiyaki mizuno
เป็นร้านดัง และคนต่อคิวยาวเพื่อที่จะได้กิน เพราะได้มิชลินสตาร์
เราสั่งยากิโซบะและโอโคโนมิยากิมา
สิ่งที่เราสัมผัสได้ คือ เค็ม มัน ไหม้และสกปรก เราไม่รู้ว่าร้านรีบ เพื่อรองรับลูกค้าจนไม่ทำความสะอาดให้ดีพอ หรือเชฟที่มาทำให้ทำพลาด? หรือยังไง?
.
แต่รสชาตินี้แล้วได้มิชลินสตาร์ เราคงไม่ไว้ใจเครื่องหมายการันตีนี้อีกแล้ว ..
ผิดหวังกับร้านนี้
.
กลางดึก ด้วยความที่จุดมุ่งหมายหลักเรา คือ การกิน .. เราเดินไปหาอะไรกินกันอีกรอบ
ครั้งนี้มาที่ร้าน Hanamaruken Namba Hozenji
เป็นร้านราเมนชามใหญ่ยักษ์ ที่มีทีเด็ดคือมีหมูตุ๋นชิ้นใหญ่ยักษ์เช่นกัน
.
เป็นหมูติดมันที่ตุ๋นจนเปื่อย ละลายในปาก เสิร์ฟกับเส้นราเมนเหนียวนุ่มในน้ำซุปรสเด็ด หอมเต้าเจี้ยว เค็ม มัน ครบรส
คือมันกลมกล่อมมากกกกกก
ใครมาโอซาก้า อยากให้ได้ลอง
รสชาติร้านราเมนในไทย จนถึงปัจจุบันนี้ บางร้านอาจทำซุปได้คล้ายบ้าง .. แต่เรายังไม่เจอร้านที่สามารถตุ๋นหมูให้ได้รส และสัมผัสละลายในปากได้เหมือนที่นี่เลย
อิ่มแปล้ สบายพุงกันทั้งคู่ วันนั้นคงหลับฝันดี เพราะ mission การกินสำเร็จแล้ว
.
พบกันต่อวันที่ 4 นะ 🙂