ตะลุย Japan แดนมินิมอล (2) : เกียวโต

ญี่ปุ่นวันที่2

วันนี้เราตื่นแต่เช้า เพื่อออกเดินทางไปที่เมืองเกียวโต อดีตเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น และถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ประทับใจที่สุดของเราในทริปนี้

.

ใครที่เติบโตมากับการดูอิคคิวซังอย่างเรา จะรู้สึกอิน และคุ้นเคยกับบรรยากาศของเกียวโตอย่างมาก เพราะสถาปัตยกรรม หรือวัฒนธรรมที่บอกเล่าผ่านตัวการ์ตูนนั้น สามารถพบเห็นได้อยู่ เมื่อเราเดินทางไปที่เกียวโต

.

เกียวโต เป็นเมืองที่สวยงาม สงบ มีสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเก่าแก่ที่ยังหลงเหลือไว้ให้เห็นตามย่อหน้าด้านบนที่เกริ่นไว้ แม้ในปัจจุบันจะถูกซ่อมแซมบูรณะให้ทันสมัยในบางส่วน แต่ก็ยังคงหลงเหลือกลิ่นไอเก่าๆ ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้เที่ยวชม และสัมผัสอารยธรรมนั้นได้อย่างเพลิดเพลิน

.

และที่สำคัญคือ อากาศดีมากกกกก และสะอาดมากกกกกกกกจริงๆ เห็นพนักงานทำความสะอาดทั้งวัน แม้กระทั่งช่องระบายน้ำริมถนนยังไม่มีฝุ่นเลย (จริงๆนะ)

.

กิออน

ที่หมายแรกที่เราไปถึง เมื่อย่างก้าวเข้าเมืองนี้ คือ “กิออน”

“กิออน” นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของบ้านเรือนอันเก่าแก่ เหมือนเราได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณของญี่ปุ่น 

.

ตลอดทางที่เดินเข้าไป เราจะเห็นร้านรวงต่างๆอยู่สองข้างทาง พร้อมกับป้ายข้อห้ามคำเตือนต่างๆ เป็นจำนวนมาก มากพอๆกับป้ายร้านที่เห็นนั่นเลยทีเดียว

.

เพราะความที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ทุกๆคนอยากมา ประกอบกับย่านกิออนนี้มี Ochaya (โอชายะ) หรือร้านน้ำชา ที่มีเหล่าเกอิชา และไมโกะ (เกอิชาฝึกหัด) ให้เราได้เห็นตัวจริงด้วย 

.

เมื่อคนเยอะ เรื่องก็เลยแยะ ดังนั้น ป้ายข้อห้ามและคำเตือนต่างๆจึงผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เช่น

  • ห้ามสัมผัสเกอิชา (เพราะนักท่องเที่ยวชอบเข้าไปถ่ายรูป หรือไปขัดขวางไม่ให้เกอิชาหรือไมโกะทำธุระสำคัญต่างๆ หรือแม้กระทั่งลวนลามก็มี)
  • ห้ามเซลฟี่ (เพราะคนเยอะ มันไปเดือดร้อนคนอื่น)
  • ห้ามเดินกินขนม (จริงๆทั้งประเทศของญี่ปุ่น เราก็ไม่เคยเห็นใครเดินไปกินไปเลย นอกจากยืนกินและนั่งกินให้เป็นที่)
  • ห้ามถ่ายรูปในบางโซน
  • ฯลฯ

อากาศเย็นสบายแม้แดดจะร้อน .. ทั่วบริเวณของเมืองเกียวโตเต็มไปด้วยศาลเจ้า ที่เราเองก็ไม่สามารถจะจำได้ ว่าไอ้ที่เราเข้าไป ชื่อว่าศาลเจ้าอะไร

เราเดินกันไปเรื่อย เพื่อไปเที่ยวต่อกันที่ “คิโยมิสึ” หรือวัดน้ำใส

.

ก่อนที่จะเดินถึงวัด สองข้างทางก็จะมีร้านขายของฝาก ของกิน ร้านอาหารคับคั่งให้เราได้เสียตังค์อย่างไม่รู้ตัว

วัดคิโยมึสึ

ไม่ได้ดังแค่ในระดับเมืองเกียวโตเท่านั้น แต่ดังที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากองค์การยูเนสโกยกให้เป็นมรดกโลก จึงไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมา จะต้องไม่พลาดกับสถานที่แห่งนี้

.

ที่มาของคำว่า “น้ำใส” เกิดจากการที่มีน้ำในวัด ซึ่งมาจากน้ำตกตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง และน้ำนั้นใส เย็น จนคนก็เรียกกันติดปาก ว่าเป็นวัดน้ำใสนั่นเอง

.

จริงๆ จุดที่เป็นไฮไลท์ของวัดนี้ จะเป็นอาคารไม้เก่าแก่ที่สร้างโดยภูมิปัญญาโบราณของคนญี่ปุ่น เพราะไม่ใช้ตะปูเลย (น่าจะเหมือนเรือนไทยบ้านเรา ที่ใช้การขัดไม้ หรือสลักไม้ เพื่อให้ทานน้ำหนักและลงล็อคเอง) 

แต่เราดันไปช่วงที่เค้าปิดซ่อมแซมบูรณะ ก็เลยได้เที่ยวชมรอบๆภายนอกแทน

.

ซึ่งการปิดบูรณะในส่วนไฮไลท์ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกประทับใจกับคิโยมิสึน้อยลงเท่าไหร่ เพราะอาณาเขตของวัดค่อนข้างกว้าง มีทั้งจุดที่จะต้องเดินขึ้น เดินลง เมื่อเดินขึ้นก็จะเห็นวิวทิวทัศน์เหมือนเราไปยืนบนหน้าผา แล้วมองลงมา คือ มันสวยงามมาก และอากาศก็ดีด้วย เดินได้ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย (แค่หิว !! ^^”)

ที่นี่จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมซากุระมากที่สุด จากทัศนียภาพที่เราบอก ว่ามันมีทั้งขึ้นและลง ลดหลั่นกันไปเป็นชั้นๆ ทำให้อรรถรสในวันที่ซากุระบานมันคงสวยงามมากๆ เพราะสีของซากุระที่บานสะพรั่ง เหมือนถูกจัดเรียงรายเป็นชั้นๆ ตามผาลงไป

แต่ตอนที่เราไปซากุระยังไม่บาน ผ่าม !! 5555 (ใครอยากไปชมซากุระ ต้องไปช่วงเมษายนนะจ๊ะ)

ด้านบนของคิโยมิสึ ก็จะมีจุดให้เข้าไปสักการะ 

ก่อนจะสักการะ ตามธรรมเนียมของญี่ปุ่น เราจะต้องใช้กระบวยตักน้ำเพื่อล้างมือทั้งสองข้าง และบ้วนปาก (ห้ามสัมผัสโดนกระบวยนะ) เพื่อชำระล้างความสะอาดก่อนไหว้พระขอพรเสมอ 

นอกจากไหว้พระ ด้านบนก็จะมีจุดขายเครื่องรางของขลังต่างๆ (เซียมซีก็มีนะ) และที่ฮอตฮิตกันที่สุดทุกวัดของญี่ปุ่น คือ การเขียนคำอธิษฐานลงบนแผ่นไม้ แล้วแขวนไว้เรียงราย ทั้งภาษาไทย อังกฤษ และญี่ปุ่น 

สื่อให้เห็นว่าทุกชนชาติ เชื่อเรื่องโชคลางเสมอ ^^”

เดินวนลงมาจากการสักการะด้านบนแล้ว เราจะเจอกับสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่คนต่อแถวกันยาวเหยียด เพื่อได้ดื่มเป็นสิริมงคลตามศรัทธา และนี่คือที่มาของชื่อวัด “คิโยมิสึ”

สายน้ำที่ว่าจะมี 3 สายแยกออกจากกัน เป็นการต่อท่อลงมา 3 ท่อจากน้ำตกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

สายแรก – ส่งผลให้การเรียนดี

.

สายสอง – ส่งผลให้ความรักสมหวัง

.

สายสาม – ส่งผลให้สุขภาพดี

.

เรากินไปสายนึง แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นสายที่ 1 หรือสายที่ 3 เพราะไม่รู้ว่าเค้านับจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย – -” 

แต่ก็ช่างมันเถอะ !! เพราะตอนนี้มันน่าจะสายไปแล้ว ที่ได้รู้ทีหลัง 55555555

เดินจนน้ำย่อยทำงานจากวัดคิโยมิสึ  (กว้างขวางม๊ากกก !!) เวลายังไม่หมด เราเลยนั่งรถไฟไปต่อกันที่ “ศาลเจ้าจิ้งจอกฟูชิมิ อินาริ”

นั่งรถไฟมาลงที่สถานี “Inari” ทันทีที่ก้าวลง ก็รู้เลยว่าไม่หลงแน่ๆ เพราะมีสัญลักษณ์จิ้งจอกติดอยู่ที่สถานี บ่งบอกว่า “ถึงแล้วจ้าาาาา”

ญี่ปุ่นมีความน่ารักตรงนี้แหละ คือ เค้ามักจะไฮไลท์จุดเด่น หรือสัญลักษณ์ต่างๆให้เราเข้าใจและจดจำง่ายมากๆ คนหลงทางอย่างเราเห็นแล้วก็ช่วยให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดนึง ^^”

.

เดินจากสถานีไปไม่ไกลนัก ก็เจอทางเข้าของศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ โดดเด่นเป็นสง่าด้วย “เสาโทริอิ”

.

เสาโทริอิก็เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น มันคือเสาส้มๆใหญ่ๆ ที่วางไว้เหมือนซุ้มประตูก่อนเข้าศาลเจ้า หรือวัดต่างๆ

เสาโทริอิ เป็นสัญลักษณ์ที่บอกเราว่า “เมื่อก้าวข้ามเสาไปแล้ว เราต้องสงบ สำรวมมารยาทเพราะเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ อย่าไปลบหลู่ดูหมิ่นหรือทำอะไรไม่ดีเด็ดขาด” นั่นเองงงงงง

ที่ศาลเจ้าจิ้งจอกนี้ ก็จะมีจุดให้ล้างมือและบ้วนปากเหมือนเดิม จากนั้นก็ไปเคาะกระดิ่งที่ออกแบบเป็นรูปจิ้งจอกเพื่ออธิษฐานขอพรให้สมดั่งใจ 

.

ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นทางขึ้นเขาที่ยาวไกลหลายกิโลเมตร ซึ่งตลอดทางที่เดินจะเหมือนการลอดซุ้มเสาโทริอิไปตลอดทาง จนนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใช้เวลากับตรงนี้ เพื่อหาจังหวะถ่ายรูปให้แบคกราวน์เป็นรูปเสาส้มยอดฮิตติดชาร์ท (แต่เราหมดแรงตั้งแต่เห็นคนละ ยอมแพ้ !! ถ่ายกันไปเลยจ้าาาาา 5555)

.

เนื่องจากตอนนั้นใกล้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว

.

การที่จะเดินต่อไปเพื่อเที่ยวชมให้ทั่วบริเวณใช้เวลาหลายชั่วโมง เราเลยไม่ได้เดินต่อ และเลือกกลับที่พักแทน

.

ซึ่งขาเดินออกคือไฮไลท์ของตัวกลมและตัวแสบเช่นกัน เพราะมีซุ้มอาหารขายของอยู่ !!!

ปรี่เข้าไปเลยจ้าาาาาาา … ทั้งโหยทั้งหิวตั้งแต่คิโยมิสึแล้ว มาจนถึงตอนนี้ แวะแทบทุกร้านที่เห็นกันเลยทีเดียว

จบทริปวันที่สองแบบอิ่มบุญพูนสุขเพราะตระเวนไหว้พระทั้งวันในเกียวโต

เกียวโตวันเดียวก็เที่ยวไม่หมด

เราเลยมีแพลนกลับมาเที่ยวต่อในวันหลังติดตามกันต่อวันที่ 3 นะ ว่าจะไปไหน เราก็จำไม่ได้เหมือนกันแหละ เอาจริงๆ 

Author: AbaiyaMook