วัดกระทุ่มเสือปลา ไหว้พระราหู ดูปลา สักการะเจ้าพ่อเสือ
“วัดกระทุ่มเสือปลา”
เป็นวัดเก่าแก่และเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนมากมาย
แถมเป็นหนึ่งใน Unseen Bangkok ของไทยที่ใกล้บ้านเรากว่าที่คิด
วัดนี้อยู่ในซอยอ่อนนุช 67 จุดสังเกต คือ ซอยจะอยู่บริเวณแยกไฟแดงพอดิบพอดี เลี้ยวเข้าซอยมามีป้ายบอกทาง ขับตามจนมาถึงได้ไม่ยากเย็น
จุดสักการะจะอยู่บริเวณด้านในเกือบสุด และติดกับท่าน้ำที่จัดไว้ให้อาหารปลา รวมถึงอุโบสถสำหรับถวายสังฆทานด้วย
แม้จะอยู่ในสภาวะการณ์โควิด-19 ที่เราจะต้องสวมหน้ากากและเว้นระยะห่างทางสังคม แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาเข้ามาสักการะลดน้อยลงเลย ยังคงคราคร่ำไปด้วยฝูงชนในทุกจุดที่ทางวัดจัดไว้ให้เยี่ยมชม
เรามาที่วัดนี้เป็นครั้งแรก ก็เลยยังไม่ค่อยจะรู้ว่าจะต้องไปที่ไหนก่อน เลยตัดสินใจไปถามเจ้าหน้าที่บริเวณ “ศาลเจ้าพ่อเสือ”
เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำดี เริ่มต้นจากการถามว่าต้องการมาไหว้เจ้าพ่อเสือ หรือไหว้พระราหู
เราตอบว่าขอไหว้เจ้าพ่อเสือก่อน
ก็บริจาคเงินใส่ตู้ (ในราคาชุดละ 60 บาท) แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะจุดเทียนแดงให้ พร้อมธูปและผลไม้ให้อีกคนละชุด
การไหว้เจ้าพ่อเสือที่นี่จะแตกต่างจากศาลเจ้าพ่อเสือที่อื่น คือ “ไม่ให้ไหว้เนื้อสัตว์ และต้องเป็นมังสวิรัตเท่านั้น”
ผลไม้ที่จัดไว้ในชุดมีสัปปะรด ส้มโอ และพวงมาลัยดาวเรือง แถมมีป้ายขึ้นเตือนใหญ่ยักษ์ เพื่อตอกย้ำว่า “ให้ไหว้มังสวิรัติเท่านั้น” ด้วย
ส่วนเหตุผลนั้นเราทั้งคู่ยังไม่ทันได้ถามเพราะคนเยอะ แต่คิดว่าถ้ามีโอกาสได้ไปอีกครั้งจะเก็บคำตอบมาฝากอีกที
หลังไหว้เจ้าพ่อเสือเสร็จ เรามาไหว้พระราหูกันต่อ
ก็หยอดตู้บริจาคเช่นเดิม ในราคาชุดละ 40 บาท
ทางเจ้าหน้าที่จะจุด “เทียนดำ” พร้อมของไหว้ ซึ่งเป็นของดำจำนวน 4 อย่างและธูปมาให้
เริ่มจากวางเทียน จุดธูป สวดนะโมสามจบแล้วสวดคำบูชาพระราหูตามป้ายด้านหน้า ก็เป็นอันเสร็จพิธี
หลังจากเราไหว้เสร็จ ก็เดินเที่ยวชมสถาปัตยกรรมและประติมากรรมบริเวณวัดอยู่สักครู่ ก็ได้เห็นว่า วัดนี้มีความผสมผสานระหว่างไทย จีนและพราหมณ์-ฮินดูเข้าไว้ด้วยกัน
สืบความเพิ่มเติมจากในอินเตอร์เน็ตก็ได้ทราบว่า วัดนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งใช้ช่างกลุ่มเดียวกันกับ “วัดเล่งเน่ยยี่”
.. เราจึงไม่แปลกใจที่ได้เห็นกลิ่นอายของวัดเล่งเน่ยยี่ รวมทั้งรูปปั้นต่างๆอยู่ในวัดแห่งนี้ด้วย
ที่มาของชื่อวัด “กระทุ่มเสือปลา” นั้นมาจากการที่สมัยก่อนบริเวณนั้นมีต้นกระทุ่มอยู่ค่อนข้างมาก และมีเสือปลาอยู่ที่ท่าน้ำในบริเวณนั้นค่อนข้างเยอะ (แม้ในปัจจุบันจะกลายเป็นปลาสวายไปแล้ว ^^”)
เดินเที่ยวชมสักพัก กลุ่มนักท่องเที่ยวยังคงทะยอยมาอย่างเนืองแน่น เราจึงปลีกตัวเดินไปบริเวณท่าน้ำ
จุดนั้นจะมีอาหารปลาขาย ทั้งแบบขนมปังและขนมที่ทำมาจากแป้งและข้าวโพด
ปลาที่แหวกว่าย .. ไม่สิ ควรเรียกว่า “ปลาที่เบียดเสียด”กันเข้ามาแย่งอาหาร เป็นปลาสวายเกือบทั้งหมด (คงเพราะมันเป็นปลาที่กินปลาอื่น เลยทำให้ปลาอื่นอยู่ไม่ได้หรือเปล่าก็ไม่รู้)
ทุกครั้งที่โยนขนมปัง ปลาจะพลิกตัวแย่งกันกินพัลวัน จนมองไปแล้วไม่รู้ตัวไหนเป็นตัวไหน โยนให้ตัวเดิมหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ^^” เลยต้องพยายามโยนใกล้บ้าง โยนไกลบ้าง
มโนเอาว่าเหมือนกำลังเล่นคอนเสิร์ตที่เอาใจบัตร VIP ที่อยู่หน้าเวที กับบัตรยืนที่อยู่ด้านหลังยังไงยังงั้นเลย 555
จบภาระกิจทำบุญในวันนี้ แต่พอมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัดนี้ ทำให้รู้ว่าเรายังเดินไม่ทั่วเลย
ทั้งโซนพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งที่อยู่ด้านบนของเรือนไทย
หรืออุโบสถอื่นๆที่อยู่ด้านหน้า .. ซึ่งก็ไ่ม่แน่ใจหรอกว่า ทางวัดเปิดให้เข้าชมไหม
แต่คิดว่าคงจะกลับไปอีกครั้งเพื่อเก็บข้อมูลที่ขาดหายไป รวมถึงรายละเอียดส่วนอื่นๆที่ยังไม่ได้เข้าไปอีกครั้งแน่ๆ
แล้วจะเก็บมาฝากกันอีกรอบเนอะ ^^