พักฟื้น คืนหัวใจ ที่บ้านไร่ ไออรุณ จ.ระนอง (EP.1)

..But someday you will be old enough to start reading fairy tales again.

..แล้วสักวันหนึ่ง … คุณจะโตพอที่จะกลับมาอ่านนิทานอีกครั้ง.. (C.S. Lewis) – ประโยคหนึ่งจากภาพยนต์นาเนียร์ ที่แฝงข้อคิดอะไรหลายๆอย่าง จนเป็นที่มาของบทความนี้

ถ้าพูดถึง “นิทาน” หลายคนคงนึกถึงเรื่องเพ้อฝัน ยากที่จะเกิดขึ้นจริง

ตัวละคร สถานการณ์ บทบาท ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในนิทานล้วนไม่มีขีดจำกัดและไม่มีคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ตราบเท่าที่จินตนาการของผู้เขียนจะเนรมิตมันไว้ให้โลดแล่นในโลกแห่งนั้นาเาา

เมื่อเราเติบโตขึ้น เราจึงห่างไกลกับนิทานมากขึ้นไปทีละนิด..ทีละนิด จนท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่อ่านมันอีกเลย และใช่ .. โลกแห่งจินตนาการเราหายไปตามกาลเวลา

บทบาทหน้าที่ของเราในชีวิตจริง มาจนถึงวันนี้ในวัย 39 ปีแล้ว .. มันช่างอ่อนล้าและอ่อนแรง

ทุกๆวันของเราเป็นการปลุกเอาร่างไร้วิญญาณของตัวเองให้ตื่นจากที่นอน และทำหน้าที่ของมันตามความเคยชินในการอาบน้ำ แต่งตัว และขับรถไปทำงาน รอเวลาเลิกงานก็กลับบ้าน พร้อมกับความเครียด ภาระหน้าที่ การต่อสู้เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงที่ค่อนข้างแข่งขันกันสูง และมีแต่ความคาดหวังจากตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเรายิ้มครั้งล่าสุดเมื่อไหร่

เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเราอยากกินอะไร ที่จะทำให้มื้อนั้นมีความสุขได้มากกว่ามื้อแห่งความเร่งรีบที่ต้องแข่งกับเวลาเพื่อไปทำงาน

เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเราชอบอะไร เราอยากเป็นอะไร เราอยากทำอะไร

และเราก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ .. ว่า Passion ของเราที่มี .. มันหายไปตั้งแต่ตอนไหน .. และเราลืมมันไว้ที่ไหน .. เราไม่รู้เลย

.

ขณะที่เราดูเฟสบุคไปเรื่อยเปื่อยเหมือนอย่างที่เคยทำ ก็เห็นโพสต์จากที่พักแห่งหนึ่งในจังหวัดระนอง

จ.ที่เราผ่านบ่อยๆ เวลาจะไปพังงาหรือภูเก็ตถ้าขับรถไป .. ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะแวะ หรือรู้ว่าจังหวัดนี้มีอะไรให้ท่องเที่ยว

อันที่จริงเราติดตามเพจนี้มานานแสนนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้มีบ้านพักหลายหลังเท่าปัจจุบัน เราหลงใหลงานเขียน และการถ่ายทอดสื่อความของคุณเบส – เจ้าของบ้านไร่ไออรุณ ที่มีสำนวนการเขียนที่น่าอ่าน น่าติดตาม สื่อความอย่างจริงใจและให้รายละเอียดมากพอในการจินตภาพถึงทุกๆเรื่องที่คุณเบสถ่ายทอด

ช่วงโควิดที่ผ่านมา เราก็เป็นอีกแรงที่อุดหนุนที่รองแก้ว งานทำมือจากชาวบ้าน และงานไม้ที่ทำเป็นรูปสัตว์และเพนท์อย่างน่ารัก ที่บ้านไร่ไออรุณขายในช่วงนั้นเพื่อให้พนักงานที่บ้านไร่ฯ และชาวบ้านได้มีรายได้ในภาวะที่คนท่องเที่ยวเดินทางกันไม่ได้อย่างสะดวกนัก

แผ่นรองแก้วและของตกแต่งที่ซื้อจากบ้านไร่ ไออรุณ ช่วงโควิด แผ่นรองแก้วใช้ดีมาก ซับน้ำได้หมดเลย

เราติดตามทุกช่วงเวลา แม้กระทั่งช่วงที่ยากลำบากของครอบครัวที่น่ารักแห่งนี้ เช่น ในช่วงที่คุณพ่อป่วยและเข้าโรงพยาบาล เราอดลุ้นตามเสียไม่ได้ และภาวนาให้คุณพ่อปลอดภัย

รู้ตัวอีกทีเราก็ปักหมุดในใจแล้วว่า ในชีวิตของเราจะต้องเดินทางไปพักที่บ้านไร่ไออรุณแห่งนี้ให้ได้สักครั้งนึง

และวันนี้ก็มาถึง

วันที่เราหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตหลังลาออกจากงานประจำ และหาที่พักผ่อนใจพร้อมการออกตามหาแพสชัน ตัวตน วิญญาณที่ทำหล่นหายไป (ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้) โพสต์ของบ้านไร่ไออรุณโผล่ขึ้นมาในเฟสบุค เสมือนเป็นเครื่องย้อนเตือนความจำและแนะนำเราว่า .. ที่นี่ไง ที่เธออยากไปสักครั้งนึงในชีวิต .. ที่นี่แหละ ที่จะช่วยเธอได้ เนตรนิภา !!

ไม่รอช้า .. เราบอกแฟนทันทีว่า เราจะไปที่นี่

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตัดสินใจเร็วมาก เราจองที่พักทันที 3 คืน 4 วัน เพราะที่นี่คือจุดหมายที่เราตั้งใจไปสำหรับทริปนี้

ก่อนวันเดินทาง โทรศัพท์เบอร์ไม่คุ้นโทรเข้ามา

ปรากฎว่าเซอร์ไพร์สมากกกก .. มาจากทางที่พักโทรมาเพื่อแนะนำเส้นทางการเดินทาง และให้ข้อมูลว่าช่วงที่เราไปพายุเข้า เลยบอกเส้นทางที่ปลอดภัย ว่าขับทางไหนจะทำเวลาหรือแซงรถข้างหน้าได้ดีกว่า .. ความประทับใจแรกคือสิ่งนี้เลย

วันเดินทาง

พร้อม! ออกเดินทางกันค่า

การเดินทางขับรถล่องใต้ในครั้งนี้สะดวกสบาย ถนนหนทางดี ตรงดิ่งยาวๆ แค่เผลอไม่ให้ง่วงระหว่างทางเท่านั้น ขึ้นเขาลงเขาสบาย เราชอบไปทางพะโต๊ะ (แม้ทางที่พักจะแนะนำว่าให้ไปอีกทาง) เพราะทางนั้นสวย แต่ถนนแคบ จังหวะแซงลำบาก แต่เราเลือกเวลาเดินทางที่รถไม่เยอะนักเลยไม่ประสบปัญหานี้

เมื่อไปถึงจอดรถ เดินเข้าไปจะผ่านซุ้มดอกไม้ที่ตกแต่งได้สวยมาก ถือเป็นความสดชื่นแรกที่เชื้อเชิญให้เราผ่านเข้าไป “หนูตุ่น” เจ้าหมาผู้เป็นมิตรแต่อินดี้ ยิ้มร่าต้อนรับอย่างดี แต่พอเข้าไปคุยด้วยจะไม่สนใจ (ฮ่าๆ) แต่เค้าเดินมาหาเรานะ มาให้ลูบหัวสักพักแล้วก็เดินจากไป เหมือนมาทักทายนิดหน่อย ประสาเซเลปยังไงยังงั้น

“หนูตุ่น” ออกมายืนต้อนรับปากทางเข้าเลยค่ะ

พอเดินเข้าไปเช็คอิน ก็ได้รับเวลคัม ดริงค์ เป็นน้ำอัญชัญมะนาวสีสวย ดื่มแล้วชื่นใจ จิบน้ำไปพร้อมกับนั่งมองบรรยากาศรอบๆแล้วก็รู้สึกดีมากๆ สักพัก พี่เร ก็มาคุยด้วย ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พี่เรเป็นคนน่ารัก สวย ยิ้มเก่งและอัธยาศัยดี เรารู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นมากเวลาคุยกับพี่เร เหมือนได้เจอพี่สาว ได้เจอแม่ (แม้พี่เรจะไม่แก่เลย) แต่เป็นความรู้สึกอบอุ่นอารมณ์นั้นจริงๆ ขอบคุณนะคะพี่

เมื่อห้องเรียบร้อยดีแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเดินเข้าบ้านที่เราจองไว้ .. บ้านไร่ ไออรุณมีการออกแบบส่วนนี้ไว้ดีมาก เค้าใช้วิธีให้น้องพนักงานพาเราเดิน และในระหว่างเดินก็บรรยายให้ฟังว่าจุดที่เราเดินผ่านคืออะไร เช่น ผ่านห้องอาหารก็อธิบายว่าส่วนนี้เป็นโซนอาหารเช้า ให้มาติดต่อที่นี่ ส่วนถ้าอาหารเย็นจะอยู่ฝั่งตรงข้าม อะไรแบบนี้ มันเหมือนทำให้เรารู้สึกคุ้นชิน เหมือนได้ใกล้ชิดกับทั้งพนักงานและสถานที่ไปในตัว

น้องกุ๊ก แนะนำสถานที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของบ้านไร่ไออรุณ

และจุดไฮไลท์ที่ทำให้เราประทับใจที่สุด คือ ซุ้มทางเข้า

ซุ้มทางเข้า กับเรื่องเล่าความเป็นมา กว่าจะเป็นบ้านไร่ไออรุณในวันนี้

เราไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่อ่านมันอย่างละเอียดในทุกภาพและตัวอักษรที่คุณเบสได้เขียนไว้

มันคือที่มาของบ้านไร่ ไออรุณ ว่ากว่าที่จะมาถึงวันนี้ได้ ครอบครัวนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ทำให้เราได้สัมผัสถึงสิ่งที่บอกเล่าเอาไว้ได้ทุกช่วงเวลา หลายประโยค หลายอักษร ปลุกสิ่งที่หลับใหลภายในตัวเราขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด .. สิ่งที่เราคิดว่ามันหายไปแล้ว แต่แท้จริงมันแค่หลับไปอยู่ในมุมที่ลึกที่สุดในตัวเราแค่นั้น .. แต่มันถูกปลุกขึ้นมาจากตัวอักษรที่คุณเบสได้ถ่ายทอดไว้ที่ซุ้มนั้น .. เลยจะขอถอดประโยคบางประโยคที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจ ฮึกเหิม และทำให้แพสชันของเราคืนกลับมา

  • กู้เงินไม่ได้.. เพราะโลเคชันไม่ดี ทุกคนต่างบอกว่าไม่สวย ก็ต่อยอดพัฒนาจากสิ่งที่มี+ความคิดสร้างสรรค์สร้างมูลค่าและรายได้ขึ้นมา ไม่มีอะไรที่ยากเกินความสามารถ “ถ้าเราลงมือทำ” ครับ
  • ..จากพื้นที่ ที่ไม่สามารถเป็นรีสอร์ทได้ เพราะโลเคชั่นไม่ได้ติดทะเล, เห็นวิว, ไม่ได้อยู่ในชุมชนที่มีคนรู้จักในจังหวัดระนองของเราแห่งนี้.. เราสามารถเปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้เป็นรีสอร์ทได้แล้วนะครับ
  • ยากที่สุดไม่ใช่การสร้างอาคาร, สถานที่, คอนเทนต์ออนไลน์, ถ่ายรูปพรีเซนต์ให้คนมากดไลค์หรืออะไรเลย …. แต่มัน คือ การสร้างคนให้สวยงามควบคู่ไปกับการอยู่ร่วมกันได้ ในชุมชนเล็กๆตรงนี้มากกว่า นี่คือสิ่งที่เราพยายามจะสร้างมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
  • ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ “ถ้าเราลงมือทำ”
รวมข้อความที่เราประทับใจภายในซุ้มทางเข้าที่คุณเบสเขียนไว้

ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ “ถ้าเราลงมือทำ”

ประโยคนี้มีพลังมหาศาล

เหมือนคุณเบสมาพูดต่อหน้าเราในวันที่เราสิ้นหวัง บอกตามตรงว่าตอนนั้นเราสับสนมากว่าเราเลือกทางเดินถูกหรือผิด ในการลาออกจากงานประจำ ทิ้งเงินเดือนหลักแสนมาทำในสิ่งที่ทุกคนมองแล้วว่ามันไม่มีทางชดเชยรายได้ที่เราได้รับแต่ละเดือนแน่ๆ

สิ่งที่เราอยากจะทำล้วนแล้วแต่ให้ประโยชน์แก่ผู้คน

เราอยากสอนทำหนังวัว แชร์คอนเทนต์ที่มีประโยชน์กับคนที่ตกงาน อยากหารายได้เสริม อยากมีอาชีพ หรือเตรียมตัวเกษียณในบั้นปลายชีวิต เราอยากให้ความรู้และเป็นเหมือนแสงสว่างให้พวกเขา เหมือนที่เรามองหาแสงสว่างอยู่ในวันนี้

เสมือนซุ้มอุโมงค์ที่บ้านไร่ฯ นั้นมืดสนิท .. แต่ทันทีที่เราอ่านประโยคนี้ ก็เหมือนมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้เรามองเห็น และบอกกับตัวเองว่า “ใช่.. ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ แค่เราลงมือทำ!!”

ในใจเราฮึกเหิมอย่างประหลาด แพสชันถูกเติมเต็มถังทั้งๆที่ก่อนหน้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่ามันหล่นหายไปไหนแล้ว .. ขณะที่รู้ตัวอีกทีก็ตอนน้องกุ๊ก (พนักงานที่พาไปส่งห้อง) พูดบรรยายต่อไปว่า

“เรือนไม้ขาวเรือนนี้ เป็นเรือนเก่าที่ครอบครัวคุณเบสอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มค่ะ.. ” น้องกุ๊กแนะนำ ..

ระหว่างทางที่จะเดินถึงบ้าน “ม่านหมอก1” ที่เราเลือกจองไว้ น้องกุ๊กบรรยายน่าฟังตลอดทาง ไม่เว้นแม้กระทั่งหมา แมวที่นอนอยู่ตามทาง

เรือนไม้เดิมของครอบครัวคุณเบส

เรา: “แมวตัวนี้ เป็นแมวของที่นี่เหรอคะ” เราชี้ไปที่แมวสีหมอกตัวนึง น่ารักมากๆ กำลังเลียน้ำอยู่ข้างทาง

น้องกุ๊ก: ใช่ค่ะ น้องอยู่มานานแล้ว ตัวนี้บางคนเรียกมูมู่

เรา: ทำไมใช้คำว่าบางคนล่ะคะ แล้วบางคนเรียกอะไร

น้องกุ๊ก: เรียกอะไรก็ไม่หันค่ะ ไม่มาด้วย ก็เลยมีหลายชื่อ แล้วแต่จะเรียก เพราะเรียกอะไรก็ไม่มา (เราขำก๊ากเลย) ตอนกลางวันหลับอย่างเดียว แต่กลางคืนทำหน้าที่ลาดตระเวนค่ะ

เรา: โอ้ อยากเกิดเป็นแมวที่นี่จังเลยค่ะ บรรยากาศดี วิวสวย อยู่ดีกินดีเลยมูมู่

แล้วในที่สุดก็มาถึง “บ้านม่านหมอก 1” ที่เราจองไว้

บ้านนี้มีสองชั้น ขึ้นไปชั้นแรกจะเป็นที่นั่งทานอาหาร และอีกชั้นจึงจะเป็นห้องนอน ซึ่งห้องนอนเป็นวิวพาโนรามาที่เราแค่เพียงเปิดม่านก็นอนมองท้องฟ้าชิลๆ กันได้แล้ว เพราะเป็นกระจกรอบด้าน ตื่นเช้ามาก็แค่เปิดม่านนอนดูหมอกที่ปกคลุมยอดเขาลิบๆ เต็มอิ่ม เต็มตา เต็มใจ สมชื่อบ้าน ติดอยู่นิดเดียวตรงที่กลางวันแดดร้อนจัด ด้วยความเป็นกระจกก็เลยยิ่งร้อน แต่เราเป็นคนที่ชอบใกล้ชิดสัมผัสธรรมชาติ ตอนกลางวันเราไม่ค่อยอยู่ที่พักอยู่แล้ว ก็เลยไม่ติดอะไรในส่วนนี้เลย

แค่เปิดม่านก็มองดูท้องฟ้าบนเตียงได้เลย ดูหมอกในตอนเช้าก็ฟินเช่นกัน

การตกแต่งเน้นความอบอุ่น โทนไม้ สไตล์ของบ้านม่านหมอก 1 ออกแนวโบฮีเมียนนิดๆ ม่านสีขาว มีเครื่องประดับเป็นตาข่ายดักฝันแขวนอยู่ พร้อมกับนกกระดาษที่ห้อยระย้าเรียงราย น่ารัก สลับกับเครื่องตกแต่งโทนไม้ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แถมเข้ากับชุดที่เราใส่มาอย่างน่าประหลาด (เราชอบแต่งตัว ใครดูมาถึงตรงนี้ก็น่าจะรู้ใช่มั้ย ^^)

ภายในห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แค่ไม่มีทีวี

ซึ่งเราก็ไม่ได้ดูทีวีอยู่แล้ว เพราะตั้งใจมาเสพบรรยากาศโดยรอบเสียมากกว่า และถือว่าดีใจมากที่มีลำโพง Marshall ไว้ให้ 1 เครื่อง แค่เชื่อมต่อบลูทูธก็ฟังเพลงเพราะๆ เปิดเพลง jazz หรือบอสซ่าเบาๆ ในตอนกลางคืน ก็ได้บรรยากาศที่โรแมนติกมากๆ กลบเสียงกระรอกที่ไต่หลังคาตอนกลางคืนได้ดีเลย (เรากลัวผี และหูดีมาก เสียงอะไรนิดหน่อยเราตื่นละ มีลำโพงแบบนี้ให้เรา เราหลับสนิทเลย)

นอกเหนือจากนี้ยังมีชุดดิปกาแฟ และเครื่องบดเมล็ดกาแฟให้ด้วย แฟนเราก็จัดเลย ดื่มกาแฟไปยามเช้า ชมหมอก ชมเขา .. ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้สมกับความฟินนี้ ต้องมาสัมผัสเองจริงๆ

หลังสำรวจบ้านพักแล้ว ก็ถึงเวลามื้อเย็น ลืมบอกไปว่าเรามาถึงก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้วเพราะขับรถมาเอง ไม่ได้นั่งเครื่อง

ซึ่งมื้อเย็นเราได้สั่งไว้ตอนเช็คอินเรียบร้อย อาหารอร่อย บรรยากาศดี เราชอบโซนนั่งทานอาหารมาก อาหารกลางวันกับเย็นจะแยกโซน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน บรรยากาศของโซนดินเนอร์เราชอบมาก รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่ใส่ใจและลงตัวกันดีมาก หมอน, ไฟประดับ, ผ้าลูกไม้ประดับ, เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงการจัดตกแต่งจาน ทุกอย่างดูเข้ากันไปหมด ให้บรรยากาศเหมือนเราเป็นเจ้าหญิง เราจะรู้สึกพิเศษกับที่นี่มาก เหมือนเราสวยขึ้น 80% (5555 คิดเอาเอง) และกลายเป็นเจ้าหญิงในนิทานยังไงยังงั้นเลย

อาหารของที่นี่รสชาติดีทุกอย่าง

ทั้งอาหารจานเดียวและกับข้าว การจัดจานไม่ต้องพูดถึง ดีเลิศมาก ใส่ใจรายละเอียดมาก ทุกจานตกแต่งด้วยดอกไม้ที่ทานได้ทั้งหมด เรื่องของดอกไม้เราทานจริงนะ ซึ่งมันก็ทานได้จริงๆ ไม่เหมือนบางร้านในกรุงเทพ ใส่มาในจานเราทานดอกไม้ที่โรยมาด้านบนเข้าไป ขมปี๋ ขมติดปลายลิ้น ซึ่งไม่รู้เลยว่าดอกอะไร และตามปกติของที่อยู่ในจานต้องทานได้ ทำเอาเราเข็ดกับร้านนั้นเลย ส่วนที่นี่ทานได้ไร้กังวล ไม่มีขมสักดอกเลย อร่อยมาก

การบริการของพนักงานก็ดีเลิศ

คือ ดีทุกอย่างอ่ะ ไม่รู้จะติอะไร ติแมลงละกัน แมลงเยอะ ซึ่งเราไม่ซีเรียส มันอยู่ท่ามกลางต้นไม้ขนาดนี้ บ้านไร่สมชื่อขนาดนี้ จะให้ปลอดแมลงเลยคงเป็นไปไม่ได้ เรารู้สึกว่ามันเป็นสีสัน และทำให้บรรยากาศธรรมชาติมากขึ้นด้วยซ้ำ แค่คันเป็นบางช่วงเท่านั้นเอง ^^” แต่เค้าก็เตรียมซอฟเฟลให้ทานะ

หลังจากอิ่มท้อง พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินดีนัก .. เราเลยออกเดินสำรวจบริเวณโดยรอบ เพื่อดูบ้านหลังอื่นๆ

บ้านพักที่นี่ ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการ นิทาน และความฝันในวัยเด็ก ..

ประโยคนี้ถูกสื่อสารผ่านการเขียนบนป้ายขนาดใหญ่ ติดบริเวณโดยรอบที่พัก ตอกย้ำว่าทำไม รูปทรงของบ้านแต่ละหลังช่างเหมือนอยู่ในความฝันและโลกแห่งนิทาน เพราะตรงตามที่ป้ายบอกไว้นี่เอง ว่าแนวคิดมาจากจินตนาการ นิทาน และความฝันในวัยเด็ก ..

ป้ายอธิบายแนวคิดของการออกแบบบ้านแต่ละหลังของบ้านไร่ ไออรุณ

เมื่อเราอ่านแล้วก็ย้อนคิดถึงเรื่องราวของตัวเอง .. การเป็นผู้ใหญ่ในวัย 39 ปีมันไม่ง่ายเลย .. ต้องอดทน ต้องผ่านประสบการณ์อะไรมากมาย จนลืมไปแล้วว่าจินตนาการและความฝันมันเป็นยังไง ทุกวัน เรายึดติดกับความจริงที่มันต้องใช้เหตุและผลมากจนเกินไป เหมือนที่เราได้เกริ่นตอนเริ่มต้นบทความนี้

การได้มาที่บ้านไร่ ไออรุณ เสมือนอยู่ในโลกแห่งจินตนาการและได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง วัยที่ไม่ต้องคิดอะไร มีแต่ความสุข และสนุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เหมือนเวลาที่เราได้อยู่ที่นี่ตลอดทั้ง 3 คืน 4 วัน

..แล้วสักวันหนึ่ง … คุณจะโตพอที่จะกลับมาอ่านนิทานอีกครั้ง.. (C.S. Lewis)

มันคือวันนี้แหละ .. วันที่เรากลับมาอ่านนิทานอีกครั้งนึง

จบวันแรกไปแบบประทับใจ.. ไฮไลท์มันอยู่ที่วันท้ายๆ เพราะได้มีโอกาสได้คุยกับพี่เร และน้องเบส บอกเลยว่าการคุยกับทั้งสองคน เราได้อะไรกลับมาเยอะมากๆ ทั้งแรงบันดาลใจ กำลังใจ ปลุกใจ และทำให้เรามุ่งมั่นกับเส้นทางสายอาชีพอิสระสายใหม่ ที่เราเลือกกำหนดเอง

คิดไม่ผิดเลยที่เราเลือกจะมาที่นี่หลังการลาออกครั้งสุดท้ายของเรา

ติดตามอ่าน EP ถัดไป ยังมีต่อนะ ต้องบอกเลยว่าไม่ควรพลาดจริงๆ

Author: AbaiyaMook