งานเขียนมีคุณค่า แต่ต้องสร้างมูลค่าให้กลับมาได้ด้วย

ความยากของการเขียน Content ในยุคนี้ มันยากกว่าในยุคที่ผ่านมายิ่งนัก

ไม่ได้พูดถึงแค่ในมุมของการสื่อความ หรือการที่จะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองในการเขียน Content แนวใหม่ๆ มุมใหม่ๆ เท่านั้น …

นักเขียน .. ไม่ใช่ผู้ที่ถ่ายทอดบทความแล้วจบไป .. แต่พวกเขาต้องเป็นผู้รับ Feed Back จากผู้อ่านได้ในคราวเดียวกันด้วย เพราะ Feed back เหล่านั้นเป็นตัวชี้วัดได้ดีว่า บทความที่เผยแพร่โดนใจแค่ไหน แบบไม่ต้องรอข้ามวัน .. แต่วัดกันเป็นนาทีต่อนาที แล้วจึงนำ Feed Back เหล่านั้นมาปรับปรุงงานเขียนสำหรับบทความต่อไป

.

เราอยู่ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็น Publisher , สร้าง Content เอง, เป็น Reporter เอง ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเผยแพร่ผ่าน Social Media ได้ด้วยตัวเอง

.

เราอยู่ในยุคที่ทุกคนไม่สนใจว่าคุณเป็นใคร ขอแค่สิ่งที่คุณเผยแพร่ออกมามันโดนใจ เราก็อ่านแล้ว ต่อให้สิ่งนั้นจะจริงหรือไม่จริง กรองหรือไม่กรองก็ตาม

.

เราไม่เคยจะจดจำได้ ว่าบทความนี้มาจากไหนใครเป็นคนเผยแพร่ .. เราจำได้แค่เนื้อหาในบทความ พออ่านจบเราก็ปิด.. จะหาอ่านอีกทีก็ลืมแล้ว ว่าอ่านมาจากที่ไหน (กันนะ?)

.

เราอยู่ในยุคที่ความสุภาพของการใช้ภาษาเป็นความห่างเหิน .. ความหยาบคาย-จิกกัด เป็นเสมือนเพื่อนและแลดูเป็นมิตร ..

สังเกตได้จากบุคลิกของแอดมินเพจต่างๆ .. ความสุภาพในภาษา.. บางครั้งกลับทำให้ลูกเพจรู้สึกว่า “ทำเพื่อการค้า” หรือไม่ก็ “มันหลอกให้อ่านเพื่อรับเงินค่าโฆษณาแน่ๆ” .. บางทีอาการหนักไปจนถึงรู้สึกได้ว่า “นี่แอดมินหรือบอท .. จะทางการไปไหน” ก็มี

.

หลายๆเพจ แอดมินจึงปรับตัวให้มีความ Friendly , จับต้องได้มากขึ้น มีความกวนประสาท สื่อสารในแบบเพื่อนคุยกัน เพื่อทำให้คนอ่านรู้สึกจับต้องได้ เข้าถึงได้ และไม่แอนตี้การโฆษณา (บางเพจบอกตรงๆเลยว่าโฆษณา ลูกเพจกลับเห็นว่าจริงใจ ช่วยกันแชร์ ช่วยกัน Like ก็มี!!!)

.

.

กระแส คือของหวาน

กระแสในโลก Social มีมาให้ตื่นเต้นทุกชั่วโมง .. เป็นยุคแห่งการตามกระแส ช้าไปแค่หลักนาทีที่จะจับกระแส ก็ถือว่าสูญเสียคนอ่านไปเยอะแล้ว ..

แต่การไม่ตามกระแสเพราะคิดว่าช้าไปแล้ว นั่นผิดมากกว่า … (คงรู้กันนะ ว่าผิดยังไง 555)

.

.

การสร้าง Brand Awareness จะเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อคนอ่านไม่สนใจว่าอ่านมาจากไหนด้วยซ้ำ

สำหรับตัวเราเอง มีอยู่ไม่กี่ Publisher ที่เราตามอ่านทุกบทความ .. เพราะบทความของเค้าเป็นสิ่งที่เราสนใจและตอบโจทย์เรา จนเรามองโลโก้ของเค้า ก่อนที่จะกวาดสายตาอ่านบทความที่เค้าฟีดด้วยซ้ำ

จุดยืนของ Brand เป็นสิ่งที่ทำให้เราตระหนักรู้

เรารับรู้ได้ว่า ถ้าเป็นเจ้านี้ .. เราจะได้อ่านบทความเท่ห์ๆ

เรารับรู้ได้ว่า ถ้าเป็นอีกเจ้านึง.. เราจะได้เสพเทคโนโลยีใหม่ๆ

เรารับรู้ได้ว่า ถ้าเป็นเจ้าโน้น .. เราจะทันกระแสข่าวในรอบวัน

เหล่านี้คือ ประเภทของ content |สไตล์ของบทความ | แคแรคเตอร์ของ Brand หรือตามแต่ใครจะจำกัดความให้กับมัน ที่มันตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่มแบบเรา และเราขอเรียกมันว่า “จุดยืน”

เคยเห็นมั้ย เพจหมาก็หมาทั้งเพจ แมวก็แมวทั้งเพจ แต่คนตามกด Like หลักล้าน

ไม่จำเป็นจะต้องขนมาทั้งสวนสัตว์ หรือสัตว์ทุกชนิดบนโลก (มันก็มีเพจประเภทนั้นน่ะนะ สำหรับคนรักสัตว์โลก) แต่แค่ตีกรอบให้แคบลง.. จำกัดกลุ่มลงไปอีกว่าคนรักหมาเท่านั้น แมวเท่านี้ .. ก็ประสบความสำเร็จได้ เพราะจุดยืนมันชัดเจน..

เราว่ามันหมดยุคของอะไรที่ครอบจักรวาล เป็น Department Store ที่มีทุกสิ่งให้คนเลือกสรรแล้ว

เพราะด้วยพฤติกรรมของคนอ่าน ไม่ได้สนใจว่าอ่านอะไรมาจากไหน .. อ่านจบแล้วก็ปิดทิ้ง ไม่ได้มีโอกาสให้คุณแนะนำตัวด้วยซ้ำ ว่าคุณคือใคร

จริงอยู่มันอาจจะดีที่เรามี content หลากหลายสไตล์ รองรับความต้องการที่หลากหลายของทุกกลุ่มทุกคน

แต่ในมุมคนอ่าน เขาจะจดจำคุณไม่ได้เลย ว่าคุณเป็นเพจอะไร บทความแบบไหนที่จะหาอ่านได้จากคุณ เพราะมันเยอะไปหมด รวมทุกสิ่ง ช็อปปิ้งได้ทุกอย่าง .. และนั่นคือการไม่มีจุดยืน

.

.

Niche คือคำตอบ

อันความรู้รู้กระจ่างเพียงอย่างเดียว

แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล

ทำอะไรก็ทำให้สุด .. จุดยืนให้ชัด .. ตีกรอบให้แคบลง อย่าเหมาทั้งจักรวาลมาอยู่บนปลายนิ้วแล้วกดคีย์บอร์ดเพื่อที่จะสร้างบทความให้ผ่านๆไป .. เราว่านี่คือการทำ content ในยุคนี้

สื่อความในภาษาบ้านๆ ง่ายๆ .. ลดความเป็นทางการและความสุภาพลงบ้าง (แต่ก็ไม่ใช่จะหยาบคายถ่อยเถื่อนนะ) เพื่อให้จับต้องได้ง่ายขึ้น

ใส่ความ Creative เข้าไป.. จับกระแสรายชั่วโมงที่เกิดขึ้น แล้วนำกระแสนั้นมาเล่น มาต่อยอดให้แหวกแนวกับคู่แข่ง ..

กระแสเดียวกัน .. แต่การเล่นกับ content ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันเสมอไป

เปลี่ยนมุมมอง ลองใจคนอ่านดูบ้าง ว่าถ้าคุณเป็นคนอ่าน คุณอยากรู้อะไรอีกจากกระแสนั้น .. ยิ่งเป็นสิ่งที่คู่แข่งคุณคาดไม่ถึง คุณจะยิ่งได้รับกระแสนั้นตอบกลับมามากขึ้นแน่นอน

.

.

เขียนแล้วอย่าจบแค่การ Publish Content

เมื่อเขียนแล้ว คุณต้องมี Tool ในการวัดว่าคนอ่านจำนวนเท่าไหร่

-Feedback เป็นยังไง

-สื่อสารกับผู้อ่าน ถ้าคุณมีเวลา (ควรต้องมีแหละ)

-นำเสียงตอบรับมาปรับปรุงงานเขียนของคุณต่อไป

งานเขียนมีคุณค่าเสมอ แต่เราต้องสร้างมูลค่าให้กลับมาหาเราได้ด้วย !! จงเขียนให้คนมองหาโลโก้ของแบรนด์เรา เพื่อกวาดสายตาอ่านทุกบทความที่เราเผยแพร่ให้ได้ .. นั่นแหละ จึงจะเรียกว่าความสำเร็จ!!

Author: AbaiyaMook