Idea Killers

น้องฝึกงานสองคนได้รับโจทย์เกี่ยวกับการวางแผนการตลาด และได้มาปรึกษาเราว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี

“รู้จักลูกค้าของเราหรือยัง ว่าลูกค้าของเราคือใคร” – คำถามแรกที่เราถาม

“ผมแบ่งกลุ่มเป็นสองกลุ่มครับ คือกลุ่มวัยรุ่น และกลุ่มคนแก่” – น้องตอบ

“โอเค งั้นมีไอเดียอย่างไรบ้าง เล่าให้พี่ฟังที” – เราเปิดโอกาสให้น้องพรีเซนท์ และหลังการพรีเซนท์จบ เราเริ่มง้างธนู แล้วเล็งไปที่กลางเป้า

“สิ่งที่น้องต้องการจากกิจกรรมที่คิดขึ้นมาคืออะไร” – เราถามเป้าแรก

“เพิ่มยอด 25,000 คนครับ” น้องตอบ

“อื้ม.. ถ้าแบบนั้นสิ่งที่น้องคิด พี่ว่ามีความเป็นไปได้นะ แต่ว่าถ้าพี่อยากเพิ่มผลลัพธ์มากกว่านั้นจะได้ไหม”

“อะไรเหรอครับ”

“พี่อยากให้ยอด 25,000 คนที่เราได้มา อยู่กับเรานานที่สุด ไม่บล็อค ไม่หนี และทิ้งเราไป ทำได้ไหม” – เราปล่อยธนูไปที่กลางเป้าแล้ว

“โห … ยังคิดไม่ออกเลยครับ จริงๆโจทย์ที่ได้รับพี่เค้าก็บอกนะครับ ว่าต้องรักษาลูกค้าไว้ได้ไม่ต่ำกว่า 50%” – น้องตอบเสียงอ่อยๆ

“นี่ต่างหากคือโจทย์ .. มันไม่ใช่แค่ทำยังไงให้คนมาสนใจเรา 25,000 คน .. แต่โจทย์จริงๆ มันคือ ทำอย่างไรให้มีลูกค้าเข้ามาหาเรา อยู่กับเรา และใช้บริการของเราจำนวน 25,000 คน” – เราเริ่มคลี่คลายทุกอย่างให้น้องฟัง

“พี่อยากให้ตัดความคิดว่า ทำยังไงให้ยอดคนสนใจเพิ่มขึ้น 25,000 คน อันนี้ตัดทิ้งเลยค่ะ แต่พี่ขอผลลัพธ์แบบที่พี่บอก ทำได้ไหม”

“ควรเริ่มจากอะไรดีล่ะครับ ผมก็คิดไม่ออก”

“เริ่มจากการเข้าใจลูกค้าก่อนเลย .. เช่น กลุ่มคนแก่ที่น้องคิด น้องคิดว่าเค้าจะเข้ามาร่วมกิจกรรมน้องได้สะดวกมั้ย เค้าสามารถทำกิจกรรมแบบที่น้องคิดได้ด้วยตัวเค้าเองหรือเปล่า ?” เราเริ่มง้างธนูดอกที่สอง และเล็งไปที่เป้าอีกครั้ง

“อาจจะไม่ครับ เพราะเค้าน่าจะมากับลูกหลาน”

“อืม.. แล้วน้องคิดว่า ตกลงคนที่จะเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วยวิธีที่น้องบอก ใครกันแน่ที่เป็นคนที่จะเข้ามาร่วมกิจกรรมกับเราจริงๆ”

“คงเป็นลูกหลานของเค้าครับ เพราะคนแก่บางคนอาจไม่สะดวก และทำไม่เป็น” – น้องตอบ

“ใช่.. นั่นคือคำตอบ .. ใครกันแน่ที่เราควรจะใส่ใจและดึงดูดเค้าให้เข้าร่วม และถ้าเราต้องการที่จะดึงคนแก่เพื่อให้เข้ามาร่วมกิจกรรมจริงๆ ลักษณะของกิจกรรมควรเป็นอย่างไร ควรมีสตาฟกี่คนเพื่ออำนวยความสะดวกให้เค้าเข้ามาเล่นได้ หรือควรจัดกิจกรรมที่มีความง่ายสำหรับคนกลุ่มนี้กันแน่ เราต้องวิเคราะห์ลึกลงไปให้สุดทางเลย” – ธนูดอกที่สองถูกยิงเข้าเป้าแล้ว

“หลังจากที่เรารู้กลุ่มคนที่เราจะเล่น พี่อยากจะให้น้องลิสต์กิจกรรมทุกอย่างที่คิดได้ออกมาให้หมด เขียนลิสต์ออกมาเลย ..

.

จากนั้นทำการวิเคราะห์ซิ ว่าแต่ละกิจกรรมเราในฐานะคนจัดกิจกรรม เราได้อะไรจากสิ่งนั้นบ้าง .. และในฐานะคนเข้าร่วมกิจกรรมได้อะไรจากเราบ้าง สิ่งที่เค้าได้ มันมากพอที่จะทำให้เค้าเข้ามาร่วมกิจกรรมกับเราไหม” – ธนูดอกแล้วดอกเล่า ถูกยิงเข้าเป้าให้น้องดูอย่างต่อเนื่อง

วันต่อมา น้องนำสิ่งที่เราฝากการบ้านไว้มาปรึกษาอีกครั้ง

“พี่มุกครับ ผมคิดมาแล้ว ลิสต์กิจกรรมมาทั้งหมดแล้วว่าควรมีอะไรบ้าง ..” แล้วน้องก็เริ่มเล่ากิจกรรมแรก

“พี่ว่าน่าสนใจนะ … แต่พี่อยากรู้ว่ามันมากพอไหมที่จะเรียกเค้าให้เข้าร่วมกิจกรรมกับเรา … ในเมื่อสิ่งที่น้องคิด พี่ทำที่ไหนก็ได้ … ทำไมพี่ต้องมาทำกิจกรรมกับน้อง?” เราถามกลับ

“ผมคิดแค่คร่าวๆอ่ะครับ รู้สึกว่ามันน่าจะทำให้เค้าสนใจ”

“พี่ไม่ได้บอกว่าไอเดียไม่ดีนะ .. มันดีนะ มันน่าสนใจ .. แต่แค่น่าสนใจมันไม่พออ่ะ .. มันต้องทำให้เค้าอยากเข้าร่วมให้ได้ มันต้องทำให้เค้ารู้สึกว่า โห.. อยากได้อ่ะ .. ต้องเล่นให้ได้ ต้องเข้าร่วมกิจกรรมกับเราให้ได้ .. ซึ่งตอนนี้พี่ว่ามันยังไม่มีจุดนั้น ไม่มีจุดที่ทำให้พี่อยากเข้าร่วมเลย”

“ครับพี่ .. งั้นเดี๋ยวผมไปคิดใหม่ งั้นข้ออื่นๆผมขีดออกก่อนเลยแล้วกัน” – น้องใช้ดินสอกำลังจะกากบาทลงข้ออื่นๆที่คิดมา

“เดี๋ยว!!! อย่า Kill Idea ตัวเอง!!” เราห้ามทันที

“การที่พี่บอกว่า .. ข้อแรกของน้องไม่ดี มันไม่ได้หมายความว่าข้ออื่นๆจะไม่ดีด้วยนี่นา .. ไหน เล่าให้พี่ฟังหน่อย ข้อต่อไปน้องคิดอะไรมา” เรารีบเปิดโอกาสให้น้องพูด

“ข้อนี้จะเป็นการทำให้เกิดการชักชวนกันครับ มันจะทำให้จำนวนคนเพิ่มขึ้นเยอะจากการบอกต่อ แต่ว่าอย่างที่พี่มุกบอก คือ มันยังไม่น่าสนใจพอ” – น้องตอบ และสรุปจบอย่างรวบรัด

“มันมีข้อดีที่ไม่ควร kill มันนะ” เราตอบทันที

“กิจกรรมแรก มันชักชวนกลุ่มคนที่อยู่หน้างานให้สนใจ แต่มันไม่ได้ทำให้เกิดการบอกต่อถูกไหม?

แต่กิจกรรมที่สองนี่สิ .. มันทำให้เกิดการบอกต่อ และทำให้จำนวนคนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย เพราะมันมาเป็นกลุ่ม .. นี่คือข้อดีที่ข้อแรกไม่มี ..

.. แล้วทำไมเราไม่เอาข้อดีของแต่ละอันมารวมกันล่ะ? ทำไมเราต้องเลือกเพียงข้อใดข้อหนึ่ง แล้วฆ่าอีกข้อทิ้ง? พี่พูดถูกไหม?”

น้องพยักหน้า

“อย่างที่พี่บอกวันแรก .. ว่าให้น้องลิสต์ออกมาให้หมดว่าควรมีกิจกรรมอะไรบ้าง และแต่ละข้อให้ benefit อะไรในมุมคนจัดงาน และมุมลูกค้า ให้วิเคราะห์ออกมาให้ได้ นี่คือสิ่งที่พี่กำลังจะบอก…

การทำแบบนี้ มันคือการ brainstorm .. โดยไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของเราเสียตั้งแต่แรก .. มันไม่ได้หมายความว่าเลือกข้อ 1. แล้ว ข้อ2. หรือข้อ 10. ต้อง kill มัน .. ไม่ใช่เลย

แต่เราสามารถจับข้อดีของ 1 + 2 + 3 แล้วทำมันออกมา ซึ่งมันก็จะทำให้เราได้สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดออกมานั่นเอง

“ขอบคุณมากครับพี่มุก ผมจะไปวิเคราะห์ใหม่นะครับ ได้อะไรเยอะเลย” – น้องยิ้ม

ไม่ใช่แค่น้องหรอกที่ได้

เราก็ได้เช่นกัน 🙂

Author: AbaiyaMook