ทำอย่างไรให้ Video Content ของเราติด SEO อันดับต้นๆ
เป็นที่รู้กันว่า ในยุคนี้เป็นยุคทองของวิดีโอ
สื่อมัลติมีเดียต่างๆมีมากมายหลายรูปแบบในปัจจุบัน.. และรูปแบบของสื่อยอดนิยมอันดับ 1 ที่ครองใจคนทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะผ่านช่องทางเว็บไซต์ หรือ Social ต่างๆ .. นั่นคือ “วิดีโอ”
นอกจากนี้ .. Google (Search engine อันดับ 1 ของโลก) .. ยังให้คะแนนกับหน้าเว็บไซต์ท่ีมีวิดีโอ ติดอันดับผล search เป็นอันดับต้นๆอีกด้วย (ที่มา :Cisco)
แล้วจะทำอย่างไรกับหน้าเว็บที่มีวิดีโอแค่ชิ้นเดียว ให้ติด SEO อันดับต้นๆ ?
.
.
โดยทั่วไป การที่เว็บไซต์เราจะติด SEO จะขึ้นอยู่กับเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์เป็นหลัก ยิ่งมี Keyword ซ้ำกัน มีการจัดวางโครงสร้างอย่างสื่อความหมาย (Semantic Website) มีการเขียน Microdata บอกชนิดของข้อมูลให้ Search Engine มาเก็บไปได้อย่างถูกต้องและชัดเจน ฯลฯ องค์ประกอบเหล่านี้ก็ยิ่งจะดันให้อันดับเว็บไซต์ของเราสูงขึ้น
แต่เมื่อมาเป็นรูปแบบวิดีโอ .. จะเห็นว่าองค์ประกอบข้างต้นทำได้ยากขึ้น เพราะ content ในหน้าเว็บไซต์ไม่ได้ประกอบด้วยเนื้อหาที่เป็นข้อความหรือ keyword มากมายนัก เว็บไซต์ส่วนใหญ่ จะมีก็แค่ Video title , เกริ่นเล่าวิดีโอเล็กน้อย , และ Video title ของคลิปอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ..
แย่ไปกว่านั้น ..บางเว็บแค่วางคลิปวิดีโอ และมีข้อความในหน้าเว็บเป็นชื่อวิดีโอ ไม่มีตัวหนังสืออื่นอีกเลยในหน้าเว็บไซต์ก็มี (เว็บเหล่านี้น่าเสียดาย เพราะพลาดโอกาสที่จะได้ติดอันดับ SEO แล้ว)
เรามาเริ่มปั่น SEO ของเรากันเถอะ
Content is King
ประโยคนี้ยังคงจริงเสมอ .. เนื้อหาหรือแก่นของสิ่งใดก็ตามคือตัวละครหลัก ถ้าเราทำเนื้อหาคลิปวิดีโอของเราให้ดี ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายของเรา มีการจับประเด็นและการดำเนินเรื่องได้เป๊ะๆ !! นั่นคือเราประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว
จากผลการสำรวจพบว่า กลุ่ม Gen-Z ให้โอกาสคุณเพียงแค่ 5–10 วินาทีแรกเท่านั้น ว่าเค้าจะตัดสินใจดูวิดีโอคุณต่อหรือไม่ ถ้า 5–10 วินาทีแรก คุณนำเสนอในสิ่งที่ทำให้เค้าอยากติดตามต่อ กุมหัวใจของพวกเค้าไว้ได้ .. นั่นคือคุณชนะแล้ว
เกริ่นนำเนื้อหาในวิดีโอเสียหน่อย
ข้อนี้ไม่อยากให้พาลซื่อ คิดว่าคนจะดูวิดีโอ ก็ควรมีแต่คลิปวิดีโอโดดๆ ..
มันคงจะดีกว่าถ้าคุณเพิ่มข้อความหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอ เช่น การเกริ่นนำเรื่องและแฝง Keyword ที่เป็นใจความสำคัญ (หรือ keyword ที่คุณอยากจะให้ user search เจอคุณในหน้านั้นนั่นแหละ) เข้าไป .. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่า spam keyword เด็ดขาด เพราะ Search engine ฉลาดพอที่จะตรวจสอบได้ว่า จุดประสงค์ของ keyword เหล่านั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ หรือจงใจที่จะ spam กันแน่
ที่สำคัญ .. คุณอย่าเล่าเสียหมด !! เว้นจุดไคลแม็กซ์เอาไว้ .. เคล็ดลับในการเกริ่นนำคือ คุณจะเกริ่นยังไงก็ได้ ให้ user อ่านแล้วอยากจะคลิกดูวิดีโอของคุณมากๆ เป็นการช่วยกระตุ้นให้เค้าดูวิดีโอไปในอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าคุณเผลอเล่าจุดไคลแม็กซ์ของเนื้อเรื่องเข้าไปแล้วล่ะก็จบกัน .. user ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องดูวิดีโอของคุณอีกต่อไป
อย่าลืม Meta tags ,H1 ฯลฯ
เหมือนเช่นทุกครั้ง ส่วนสำคัญที่จะทำให้ Search engine เข้าใจว่าข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ของเราเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร นั่นคือ meta data ทั้งหมด เช่น title, meta description, meta keyword เป็นต้น เหมือนการเขียนหน้าเว็บไซต์ทั่วไป
เวลาในการรับชม
ไม่มีใครอยากเสียเวลาดูวิดีโอยาวมากๆ แล้วไม่จบเสียที .. ยิ่งเวลาในการรับชมมาก ขนาดของวิดีโอก็จะใหญ่มากไปด้วย .. ถ้าเนื้อหาวิดีโอไม่สามารถตัดทอนได้จริงๆ คุณควรแบ่งเป็น episode จะดีที่สุด
Mobile First
อย่าลืมว่าโทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งจำเป็นประการที่ 4 สำหรับคนในยุคปัจจุบัน ยิ่งถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือกลุ่ม Gen-Z และ Gen-Y ด้วยแล้วล่ะก็ .. คุณต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเว็บไซต์โดยรองรับบนมือถือเป็นหลัก (โหลดเร็ว / สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดี) ในบาง Feature ที่มีความซับซ้อนต้องมีการคิดข้อดีและข้อเสียให้รอบคอบ ว่าถ้าอยู่บนมือถือแล้วมีความจำเป็นหรือไม่ ไม่เหมือนการพัฒนาเว็บไซต์แบบเก่าที่คิดถึง Desktop แล้วจึงมาทำ Mobile เป็นต้น
Video Quality
ควรเพิ่ม feature ทางเลือกให้ผู้ชมเลือกได้ ว่าต้องการรับชม Video ที่ความละเอียดเท่าไหร่ หรือมีการ Check quality ตามความเร็ว Internet ของ User จะทำให้ User Experience ดีมาก และส่งเสริมให้เกิด traffic มากขึ้น ทำให้ SEO ดีขึ้นในที่สุด
เลือกใช้ Video Thumbnail ให้ดี
รูป Thumbnail ก่อนการเล่นวิดีโอ เป็นรูปสำคัญที่มีผลทำให้ user จะคลิกเข้ามาดูหรือไม่ดูก็ได้ เพราะเป็นสิ่งแรกที่ user ได้เห็น .. ผล search จาก google ก็เช่นกัน
จากรูปด้านล่าง ถ้าผล search ที่มี video thumbnail มาจากคนละ Website (สมมติ) คุณคิดว่า user อยากจะคลิกลิงค์ไหนมากกว่ากัน
นั่นคือความสำคัญและแนวทางในการเลือกรูป Thumbnail ว่าในสถานการณ์จริง คุณต้องเลือกรูปที่มีความดึงดูด และเอาชนะคู่แข่งได้
ไฟล์วิดีโอ ควรอยู่บนเว็บไซต์ของคุณเอง
จริงอยู่ .. Youtube เป็นอันดับ 1 อยู่ตอนนี้ .. แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณนำไฟล์วิดีโอของคุณไปฝากไว้กับ Youtube .. คุณจะได้เพียง “ส่วนแบ่ง” จากค่าโฆษณาเล็กๆน้อยๆกลับมาเท่านั้น ถ้าคุณนำคลิปวิดีโอเหล่านั้นมาอยู่บนเว็บไซต์ของคุณเอง แล้วคิดหาทางต่อยอดรูปแบบโฆษณาในแบบของคุณเองได้ นั่นคือคุณจะมีรายได้โดยไม่ต้องแบ่งกับใคร .. และเป็นอนาคตที่ยั่งยืนมากกว่าไปฝากความหวังไว้กับ Youtube นั่นเอง
หรือบางคนใช้วิธีลงคลิปบน Youtube แล้วทำการฝากลิงค์เพื่อให้กลับมาดูคลิปอื่นๆที่หน้าเว็บไซต์ของตัวเอง
มันเป็นไอเดียที่ดี .. แต่สุดท้ายแล้วผลของการ Search คุณก็ไม่สามารถจะเอาชนะ Youtube ได้ .. เพราะต้นทางหลักคือ Youtube .. ในการแสดงผล search ก็จะเห็น Link จาก youtube อยู่อันดับสูงกว่าคุณอยู่เสมอไป
ดังนั้น .. การฝังวิดีโอไว้บนเว็บไซต์ของคุณเอง คือคำตอบที่ดีที่สุด
อย่าลืมปุ่ม Share
จากผลสำรวจ ผู้ใช้งานจะเลือกแชร์ content ที่เป็นวิดีโอมากกว่าสื่อในรูปแบบอื่น ดังนั้น อย่าพลาดโอกาสที่จะสร้าง Backlink และ pageview มหาศาลกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณ โดยปุ่มแชร์ที่ว่านี้ ควรจะแชร์ได้ทุก social หลักที่มี เนื่องจากคนแต่ละ Generation มีการใช้งาน Social ที่แตกต่างกัน เช่น Gen-Z มักใช้งานบน Instagram และ Twitter ส่วนคน Gen-Y มักใช้งานบน Facebook เป็นหลัก เป็นต้น
มาถึงขั้นตอนสุดท้าย
Optimize videos and website
หลายคนทำวิดีโอดีมาก แต่ตกม้าตายในขั้นตอนนี้ นั่นคือ การบีบอัดวิดีโอให้มีขนาดเล็กที่สุด (แต่ยังคงความชัดเจน) .. ไม่มี User คนไหนที่จะเสียเวลารอดูวิดีโอแล้วก็ไม่เล่นสักที หรือระหว่างที่ดูอยู่ก็สะดุด ติดขัด ..
ยิ่งถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นกลุ่ม Gen-Z กลุ่มคนเหล่านี้จะให้โอกาสคุณน้อยมาก เพราะเค้าจะไม่รอ และปิดเว็บคุณในทันที รวมถึงไม่กลับมาดูเว็บไซต์ของคุณอีกด้วยซ้ำ เพราะสร้าง User experience ที่ไม่ดี จนเกิดการจดจำ
ในขั้นตอนนี้ ยังรวมถึง
ประสิทธิภาพของ Server:
ไฟล์วิดีโอมีขนาดใหญ่กว่าสื่อชนิดอื่น คุณต้องเตรียมพื้นที่/ ความเร็วในการรับส่งข้อมูล / Bandwidth ให้เพียงพอต่อการใช้งานเสมอ ยิ่งในช่วงจังหวะที่มีการใช้งานมากๆ ต้องคิดเผื่อในกรณีนี้มากที่สุด เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการกอบโกยเรียกเพจวิว อันมีผลทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์เราดีขึ้นมาได้
Performance website:
เว็บไซต์ต้องมีการเขียนให้มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณอย่าลืมว่า แม้ขนาดไฟล์ที่ต่างกันเพียง 1KB ต่อผู้ใช้งาน 1 คนก็ทำให้ค่าใช้จ่าย server ของคุณเพิ่มขึ้นมาได้ (ผู้เข้าใช้งาน 1 ล้านคน ก็เท่ากับ 1 ล้านKB ที่โหลดจาก Server) ดังนั้น การ Optimize website จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงแค่ทำให้ user โหลดเร็วขึ้น แต่มันยังทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของคุณน้อยลงอีกด้วย